ไฟใต้โลกเป็นเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับพลวัตของโครงสร้างภายในโลก โดยความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มีข้อมูลน้อยมากเมื่อเทียบกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านอื่นๆ แต่จะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของมนุษย์มากทีเดียว
พลวัตของโครงสร้างภายในโลกมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกโดยเฉพาะการระเบิดของภูเขาไฟและการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งหากว่าได้มีการศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่า จะทำให้สามารถทำนายลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกได้อย่างแม่นยำใกล้เคียงขึ้น
ประเด็นการเริ่มต้นเกี่ยวกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้ เกิดจากการพบซากฟอสซิลโดยบังเอิญของนักธรณีวิทยา ชื่อ ไมค์ วัวรีส (Mike Voorhies) สิ่งที่น่าในใจเกี่ยวกับซากฟอสซิลที่พบนี้ พบว่าสัตว์เหล่านี้ไม่ได้ตายทันทีทั้งหมด พวกมันทุกข์ทรมานกับบางอย่างที่เรียกว่า "ไฮเพอร์โทรฟิก พัลโมนารี ออสทีโอดิสโทรฟี" ซึ่งเป็นอาการที่สูดเอาเถ้าที่ระคายเคืองไปมากๆ เถ้าที่ว่านี้เป็นเถ้าที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปัญหาใหญ่แน่นอนหากจะเกิดการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ ซึ่งจากการคำนวณการปะทุจะเกิดขึ้นทุกๆ 600,000 ปี
สิ่งที่ค้นพบดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มตื่นตัวในมหันตภัยดังกล่าวจึงเริ่มที่จะหันมาสร้างความเข้าใจภายในของโลกมากขึ้น โดยมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างภายในโลกและพบความรู้ใหม่ๆ เช่น อาร์.ดี. โอลด์แฮม (R.D. Oldham) พบว่าโลกมีแกนกลาง แอนเดรีย โมโฮโรวิซิก (Andria Mohorovicic) ค้นพบพรมแดนระหว่างแผ่นเปลือกโลกกับชั้นที่อยู่ต่ำลงไป ที่เรียกว่า แมนเทิล ปี 1936 อินจ์ เลห์มานน์ (Inge Lehmann) ค้นพบว่าแกนโลกมีสองชั้น
ในปี 1960 นักวิทยาศาสตร์เริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างภายในโลกมากขึ้น เพราะก่อนหน้าที่เราได้รับรู้ถึงอันตรายที่มากับภัยแผ่นดินไหวเป็นอย่างดี เช่น ที่เกิดขึ้นในชิลี ฮาวาย โปรตุเกส ซานฟรานซิสโก และโตเกียว เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตัดสินใจขุดเจาะพื้นมหาสมุทรเพื่อตรวจสอบชั้นแมนเทิลของโลก ซึ่งหากศึกษาเข้าใจธรรมชาติของหินภายในโลกได้ก็จะเริ่มเข้าใจว่ามันมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วก็อาจเป็นไปได้ที่จะทำนายแผ่นดินไหวและเหตุการณ์อื่นๆ ได้ แต่โครงการนี้ก็ล้มเหลว อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์พยายามต่อจนได้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จนได้ข้อมูลเกินความคาดคิด
นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันทั่วไปว่าโลกข้างใต้เรานั้นประกอบด้วย 4 ชั้น คือ ชั้นแผ่นเปลือกโลกที่เป็นหินแข็งชั้นนอก ชั้นแมนเทิลที่เป็นหินเหลวร้อน แกนกลางชั้นนอกที่เป็นของเหลว และแกนกลางชั้นในที่เป็นของแข็ง แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เช่น แต่ละชั้นมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร โลกก่อกำเนิดเปลือกโลกมาได้อย่างไรและเมื่อใด กลุ่มหนึ่งคิดว่ามันเกิดขึ้นฉับพลันทันที ตั้งแต่ยุคต้นๆ ของประวัติศาสตร์โลก บางกลุ่มคิดว่ามันค่อยๆ เกิดขึ้นภายหลัง นอกจากนี้ เคาน์ ฟอน รัมฟอร์ด (Count Von Rumford) ค้นพบว่า แผ่นเปลือกโลกของโลกไม่ได้เคลื่อนที่ไปตามพื้นผิวเท่านั้น แต่ยังเคลื่อนที่ขึ้นลงตามหินร้อนเลื่อนไหลขึ้นและตกจมลงในกระบวนการที่เรียกว่า กระแสการพาความร้อน ทำให้มีการศึกษาและพบข้อมูลเพิ่มเติมหลายอย่าง เช่น แมนเทิลมีองค์ประกอบหลักเป็นหินชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เพริโดไทต์ มีปริมาตรถึง 82% และมีน้ำหนัก 65% ของโลก แกนโลกชั้นในกักเก็บความร้อนได้ดีประมาณว่าร้อนพอๆ กับพื้นผิวดวงอาทิตย์ (4,000-7,000 องศาเซลเซียส) แกนกลางชั้นนอกเป็นที่อยู่ของแม่เหล็กโลกและยังรู้อีกว่ามันสามารถกลับขั้วได้ทุกๆ 500,000 ปี การที่โลกมีสนามแม่เหล็กทำให้โลกปลอดภัยจากรังสีคอสมิก โดยมันจะสะท้อนกลับไปในอวกาศทำปฏิกิริยากับอนุภาคในชั้นบรรยากาศจนเกิดเป็นม่านแสงที่เรียกว่า แสงออโรรา
ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับการศึกษาเรื่องราวภายในโลกก็คือไม่ได้มีการพยายามผสานความรู้ว่าด้วยด้านบนของโลกกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในโลก ทั้งที่มีการแจ้งเตือนถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การระเบิดของภูเขาไฟ และการเกิดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง อันตรายดังกล่าวไม่ได้มาจากแดนไกลแต่เกิดขึ้นใกล้ตัว มันอยู่ใต้พื้นดินที่เราอาศัยอยู่นี่เอง "ไฟใต้โลก"
ที่มี : โตรม ศุขปรีชาและวิลาวัณย์ ฤดีศานต์ ผู้แปล. ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่งจากจักรวาลถึงเซลล์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร ฯ : วงกลม, 2551.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น