29/11/51

ปลาดุกร้า

ปลาดุกร้า ภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยกุหลาบ หนูนะ
ปลาดุกร้า คือปลาที่ทำด้วยปลาดุกอุย (หรือที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า ปลาดุกเนื้ออ่อน) ซึ่งตายขณะที่ชาวประมง ชาวบ้านดักจับปลาตามธรรมชาติ และกว่าจะกลับมาถึงบ้านปลาก็เริ่มมีกลิ่นเหม็น จะทิ้งไปก็เสียดาย ชาวบ้านก็เลยนำมาหมักเกลือไว้ รุ่งเช้าก็นำออกตากแดดจัด ประมาณ 1 – 2 วัน ปลาที่มีกลิ่นเหม็นก็เริ่มมีกลิ่นหอมขึ้นมา เมื่อนำมาทอดให้สุกและทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็ทำให้ได้รสชาติดีอีกแบบหนึ่ง ทั้งนี้เพราะปลาดุกอุย เนื้อยุ่ยนิ่ม รสหอม หวาน มัน อร่อย และไม่มีรสคาว อันเนื่องมาแต่คุณภาพของปลาและวิธีหมักเนื้อปลา และคุณภาพของปลา ปัจจุบันปลาเริ่มหายาก ปลาดุกอุยตามธรรมชาติลดน้อยลงและมีราคาแพง การทำปลาดุกร้าจากปลาธรรมชาติก็กลายมาเป็นทำจากปลาดุกที่เลี้ยงในบ่อธรรมชาติแทน และกรรมวิธีในการผลิตก็แตกต่างกัน ในสมัยก่อนทำจากปลาที่ตายระหว่างการดักจับปลาตามธรรมชาติแต่ในปัจจุบัน ปลาดุกร้าทำจากปลาสดที่จับจากบ่อเลี้ยงแล้วนำมาทำให้ตายโดยน๊อคด้วยเกลือแกงแทน
วัสดุ อุปกรณ์
ปลาดุก
เกลือเม็ด 1 ก.ก
น้ำตาลทราย 0.5 ก.ก
ภาชนะสำหรับใส่ปลา +ฝาปิด เช่น โอ่ง หรือ กะละมัง
พลาสติกหือกระดาษหนังสือพิมพ์
เชือกฟาง
มีด
เขียง
น้ำ
วิธีทำ
เลือกปลาดุกสดขนาดตัวเท่ากัน (ทำให้ตายโดยการน็อคเกลือ) นำมาตัดหัวและดึงขี้ทิ้ง
ล้างให้สะอาดจนหมดเมือก พักไว้
เกลือเม็ดนำมาใส่ครกตำให้ละเอียด พักไว้ (ปลา 10 ก.ก : เกลือ 1 ก.ก.)
นำปลาที่พักไว้วางภาชนะเป็นชั้น ๆ โดยวางสลับหัวหาง(เพื่อความจุและเป็นระเบียบ) วางปลาชั้นที่ 1 จนเต็มก้นภาชนะแล้วโรยเกลือให้ทั่วตัวปลา จึงค่อยวางปลาชั้นที่ 2 ทำเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 จนหมดปลาที่เตรียมไว้(ในขั้นนี้จะต้องเก็บเกลือส่วนที่ใช้ไว้)
ใช้พลาสติกหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดปากภาชนะ ใช้เชือกรัดให้แน่นแล้วปิดฝา หรือถ้าภาชนะไม่มีฝาปิดก็เอาภาชนะอื่นมาวางครอบไว้ข้างบนแทน
ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 คืน นำปลาออกมาล้างให้สะอาด ประมาณ 5 ครั้งหรือล้างให้หมดเกลือ (ในขั้นนี้จะมีกลิ่นเหม็นของปลา)
นำปลาที่ล้างดีแล้วไปตากแดดจัด ประมาณ 3 ชั่วโมง หรือถ้าแดดไม่จัดนักก็ประมาณ 1 วัน เก็บปลาที่ตากแดดจัดมาพักให้เย็น
นำน้ำตาลทรายมาตำให้ละเอียด นำเกลือส่วนที่เหลือจากการหมักครั้งก่อนมาอัดในท้องปลาโดยอัดสลับกับน้ำตาลทรายตำละเอียดจนหมดปลา (ถ้าต้องการให้ปลามีความหวานก็ใส่น้ำตาลให้มาก)
นำปลามาวางเรียงซ้อนเป็นชั้น ๆ ในภาชนะ แต่ละชั้นโรยน้ำตาลทรายบาง ๆ หมักไว้ 2 คืน
นำปลาออกมาตากแดด ประมาณ 2 วัน หรือถ้าแดดไม่จัดนักก็ตากแดดจนตัวปลาแห้ง ในขั้นนี้ปลาจะมีกลิ่นหอม (เวลานำปลามาเก็บก่อนจะตากครั้งต่อไปก็นำปลามาเรียงซ้อนกัน)
ถ้าจะรับประทานก็นำปลามาทอด ใช้ไฟอ่อนๆ มิฉะนั้นปลาจะไหม้ดำรับประทานไม่ได้นะจะบอกให้

15/11/51

แกงพุงปลา(ไตปลา)ปากพนัง

ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย ยุวดี วัฒนสุนทร
คนปากพนังดำเนินชีวิตเกี่ยวข้องกับแม่น้ำและทะเล ในน้ำมีปลาในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์มายาวนาน มีทั้งสัตว์น้ำมากมาย ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม ปริมาณสัตว์น้ำมากมาย จนเกิดภูมิปัญญาชาวบ้านในการนำวัตถุดิบที่มีอยู่มาปรุงอาหารรับประทาน และถนอมอาหารที่มีอยู่ไว้รับประทานได้นานขึ้นหรือเก็บไว้ในหน้าแล้ง เช่น ปลากระบอกที่นำมาทำปลาร้า(ภาษาท้องถิ่น) ( หมายถึงปลาเค็ม ) ปลากระบอกผ่าล้างน้ำเกลือแล้วตากแห้ง ไข่ปลากระบอกล้างน้ำเกลือตาก ส่วนพุงปลากระบอกหรือไตปลา นำแกะเอาถุงน้ำดีออกและรีดเอาอาหารหรือดินในกระเพาะและไส้ออกก่อน แล้วล้างให้สะอาดแล้วใส่เกลือหมักไว้ เมื่อมีแสงแดดจะนำออกมาตากไว้จะมีกลิ่นหอม ประมาณ 1 เดือนจึงจะนำมาปรุงเป็นอาหารได้
มีการปรุงได้หลายๆแบบ เช่น
· แกงพุงปลา(ไตปลา)ใส่กุ้งสด หรือใส่ปลาช่อนย่าง หรือใส่ปลาดุกนาย่าง หรือปลาอื่นๆที่มีอยู่โดยนำปลามาย่างให้สุกก่อนใส่ลงในแกง อาจเพิ่มผักที่มีเนื้อแข็งหรือเนื้อหนาลงไปด้วย เช่น ฟักทอง มันเทศ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์เกาะเปลือกแล้วแบบดิบ เมล็ดขนุนต้มสุกปอกเปลือกหั่นครึ่ง มะเขือเปราะ หน่อไม้ต้ม(ดัดแปลงไปจากท้องถิ่น) หรือมันฝรั่งก็ได้
· แกงพุง(ไตปลา)ปลาอื้อ เป็นแกงที่มีไตปลาเป็นหลัก แต่เครื่องแกงไม่ตำ แต่จะหั่นทุกอย่างในเป็นฝอยหรือชิ้นเล็กๆพร้อมทั้งใส่ขนมถั่วงาตำลงไปด้วย
· แกงพุงปลา(ไตปลา)ใส่กะทิ โดยการเพิ่มกะทิลงในแกงแกงพุงปลา(ไตปลา)ใส่กุ้งสด เพื่อเปลี่ยนรสชาด
แกงไตปลามีรสจัด มักทำรับประทานในฤดูฝนอากาศเย็น จะช่วยรักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย และเพื่อเพิ่มคุณค่าให้อาหาร โดยการรับประทานร่วมกับผักสดหลายชนิด รวมทั้งช่วยลดความเผ็ดร้อนลง เรียกว่า ผักเหนาะ เช่น สะตอเบา(กระถิน รับประทานทั้งยอดอ่อน ฝักอ่อนและเมล็ด) สะตอหนัก ลูกเนียง ยอดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วพู ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ และ แตงกวา เป็นต้นมักรับประทานร่วมกับแกงเรียง ผักพื้นบ้าน หรือกับขนมจีนใส่แกงพุงปลา ก็เป็นที่นิยมรับประทาน อร่อยมากเช่นกัน
เครื่องปรุงแกงพุงปลา(ไตปลา)ปากพนัง
1. กุ้งสดแกะเปลือกแล้วทุบ หรือหั่นเฉียงๆ 1 ถ้วยตวง(หรือหมูสับก็ได้ตามชอบ)
2. ปลาช่อน(ปลาดุก หรือปลาทะเลอื่นๆที่มีอยู่ ย่างแกะเนื้อแล้ว) 1 ถ้วย หรือตามชอบ
3. ไตปลา ครึ่งถ้วยตวง (60 กรัม)
4. เครื่องแกง ประกอบด้วย
· ตะไคร้หั่นเป็นแว่นบางๆ 2-3 ช้อนโต๊ะ (นิยมใส่มากๆจะช่วยดับกลิ่นคาวได้ดี)
· ขมิ้นหั่นเป็นแว่นๆ 1/2 ช้อนโต๊ะ
· หอมแดง 2-3 หัว
· กระเทียมไทย 10-15 กลีบ
· พริกขี้หนูแห้งหรือสด 25 เม็ด
· พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
· ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1/2 ช้อนชา
· ข้าวสารแช่น้ำ 1 ช้อนชา (ถ้าต้องการแกงน้ำข้น)
· กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ
5. ใบมะกรูดอ่อน 5 ใบ และใบแก่ 5 ใบ
6. เครื่องปรุงรส ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำมะนาว (มะขามสดหรือเปียก หรือมะกรูด) อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ หรือตามชอบ (สูตรนี้ไม่ใส่ผงชูรส)
7. ผักเนื้อหนา เช่น ฟักทอง มันเทศ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์เกาะเปลือกแล้วแบบดิบ เมล็ดขนุนต้มสุกปอกเปลือกหั่นครึ่ง มะเขือเปราะ และมันฝรั่งฯ ลฯ
วิธีทำ
1. ตำเครื่องแกงด้วยครกหินหรือปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้าก็ได้ ให้ละเอียด หรือตำอย่างหยาบก็ได้ แต่ให้ใส่กะปิ เมื่อเครื่องแกงละเอียดแล้ว ตำพอเข้ากัน
2. ทุบตะไคร้ 1 ต้น หอมแดง 2 หัวและใบมะกรูดแก่ 5 ใบ ใส่ ลงในหม้อ ใส่พุงปลา (ไตปลา) พร้อมน้ำสะอาด 2 ถ้วย (ตอนนี้ถ้าใช้มะขามสดให้ใส่ลงไปด้วย)
3. ตั้งไฟให้เดือด 4-5 นาที ยกลง กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำขึ้นตั้งไฟใส่เครื่องแกงต้มให้เดือดใส่กุ้งสดลงไปทั้งก้อน (ห้ามคนจนกว่ากุ้งสุก) ใส่ปลาย่าง และผักต่างๆ(ชนิดที่สุกช้าใส่ก่อน) จนผักสุกหมดแล้ว ปรุงรสด้วยน้ำตาล เพื่อตัดความเค็ม และได้รสชาดกลมกล่อมขึ้น ได้ที่แล้วใส่ใบมะกรูดฉีกฝอย ยกลงพร้อมรับประทานได้
สรรพคุณของสมุนไพรในเครื่องแกงไตปลา
1. ใบมะกรูด รสปร่ากลิ่นหอมติดร้อน ใช้ปรุงอาหารช่วยดับกลิ่นคาว แก้โรคลักปิดลักเปิด ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมจุกเสียด
2. ขมิ้นชัน รักษาแผลในกระเพาะอาหาร เจริญอาหาร ขับลม รักษาโรคผิวหนัง
3. ข่า รสเผ็ดปร่าและร้อน ช่วยขับลม ขับพิษร้ายในมดลูก ขับลมในลำไส้
4. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
5. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคทางผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
6. ตะไคร้ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหารและขับเหงื่อ
7. พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อยอาหาร
8. พริกไทยเม็ด รสเผ็ดร้อน ขับลม ขับเหงื่อ ช่วยเจริญอาหาร
แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และโรคไต ไม่ควรรับประทาน เพราะแกงไตปลามีรสเผ็ดจัด และเค็มจัด
*คุณค่าทางโภชนาการแกงไตปลาน้ำข้น 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 759 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
- น้ำ 453.4 กรัม - แคลเซียม 448.9 มิลลิกรัม - โปรตีน 86.5 กรัม - ฟอสฟอรัส 302.8 มิลลิกรัม - ไขมัน 8.3 กรัม -เหล็ก 18.8 มิลลิกรัม - คาร์โบไฮเดรต 83.6 กรัม - วิตามินเอ 2545.2 IU - กาก 5.4 กรัม - วิตามินบีหนึ่ง 55.46 มิลลิกรัม - เรตินอล 0.88 ไมโครกรัม - วิตามินบีสอง 0.51 มิลลิกรัม - เบต้า-แคโรทีน 24 ไมโครกรัม - ไนอาซิน 4.10 มิลลิกรัม - วิตามินซี 29.93 มิลลิกรัม
*ที่มา : www.tkc.go.th

ความหมายของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

ความหมายของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
วิทยาศาสตร์ (Science) หมายถึง ความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งต่างหรือปรากฏการณ์ในธรรมชาติที่ได้จากการสืบค้นด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีลักษณะเป็นข้อเท็จจริง มโนมติ หลักการ กฎ สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ และทฤษฎี เรียกได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เพราะไม่ใช่การศึกษาเพื่อธุรกิจ
เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์สร้างสรรค์เป็นสิ่งประดิษฐ์เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในรูปแบบต่างๆต่อมนุษย์ จึงเป็นการศึกษาเพื่อธุรกิจ
นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะและประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาใช้เพื่อการพัฒนาด้านการจัดการ การผลิต กระบวนการผลิต หรือการบริการแนวใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หรือตลาด จึงมีความหมายที่เป็นการคิดค้นในเชิงธุรกิจด้วย
ความสำคัญของนวัตกรรม
1. ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาเทคโนโลยีให้เจริญรุดหน้า
2. ทำให้มีการนำความรู้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ไปใช้อย่างมีประโยชน์
3. ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ ผลผลิต ผลงานและการบริการใหม่ๆ ที่ตรงตามความต้องการของตลาด
4. ทำให้เกิดการส่งเสริมและพัฒนาภูมิปัญญาให้มีคุณค่ามากขึ้น
5. ทำให้ผู้คิดค้นมีชื่อเสียงและร่ำรวยได้
6. ช่วยส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของมนุษยชาติ
7. ช่วยพัฒนาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าและยาวนานยิ่งขึ้น
8. ช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมตามความต้องการ
9. ช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติในระยะยาว
10. ช่วยปกป้องคุ้มครองโลกให้มีสมดุลธรรมชาติได้ยาวนาน
รูปแบบของนวัตกรรม
1. เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือพัฒนาจากความรู้เดิม หรือดัดแปลง หรือปรับปรุงให้ดีขึ้น ได้แก่ สิ่งแวดล้อม หรือวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ
2. เป็นผลิตผลเพื่อการบริการ ได้แก่
- สุขภาพอนามัย เช่น เครื่องออกกำลังกาย ข้อมูลโภชนาการ อาหาร ยาและสมุนไพร และเครื่องสำอาง ฯลฯ
- อำนวยความสะดวกในบ้านเรือน สำนักงาน และยานพาหนะ ฯลฯ
3. เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับพลังงาน การใช้พลังงาน และพลังงานทดแทน ได้แก่ สิ่งประดิษฐ์ อุปกรณ์ เครื่องมือ ต้นแบบผลิตภัณฑ์ กรรมวิธี กระบวนการ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เป็นประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ฯลฯ
ที่มา :โครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทยครั้งที่ 7 , 2007 ; www.tia.scisoc.or.th

ภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่องถ่านผลไม้

http://fruitcharcoal.blogspot.com/

เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลไม้ครับ ส่ง Link มาให้กลัวหาไม่เจอเพราะสร้าง Link ใหม่ขึ้นมา

เจมส์